วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

ออกแบบผลิตภัณฑ์ PRODUCT DESIGN

ออกแบบผลิตภัณฑ์ PRODUCT DESIGN

ขอตอบข้อซักถามเกี่ยวกับ สายการเรียนของคณะออกแบบผลิตภัณฑ์นะครับเก่ง
สายการเรียน ของคณะนี้ ผม สิงหา ก็เรียนจบในคณะนี้มาจากที่สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตเพาะช่าง แล้วก็กำลังศึกษาต่อ2ปีต่อเนื่อง  ที่คณะครุศาสตร์สถาปัตยกรรม ภาควิชาออกแบบผลิตภัณฑ์โดยตรง ซึ่งด้วยประสบการณ์ของผม ที่ขอพูดได้เต็มปากนิดนึง  ว่า ผม พอที่จะรู้การเดินทางของสายวิชาอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย แต่สามารถแนะให้น้องๆที่กำลัง สนใจคณะนี้อยู่แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัว หรือ  ไม่เข้าใจ คำว่า ออกแบบผลิตภัณฑ์ อย่างเต็มที่
คณะนี้ ขอบอกเลย ตามตรง ว่าเป็นคณะที่ เปิดรอความสามารถในการคิดอย่างมีระบบ กระบวนการในการผลิต และ ดีไซด์ งานตัวๆ นึง ออกมาอย่างมีกระบวนการขั้นตอน และ ขอบอกว่า
สนุกครับ ไม่จำเจ น้องๆจะได้เรียนถึง การออกแบบ คิดและ ปฏิบัติ ปฏิบัติในที่นี้ พี่สิงหา ขอบอกว่าน้องจะได้เจอกับ การทำโมเดล ด้วย เช่นน้องๆ ออกแบบผลิตภัณฑ์มาตัวๆนึง แต่ ลูกค้า หรือ อาจารย์อยากเห็น ว่า ผลิตภัณฑืของคุณเป็นอย่างไร ด้วยรูปร่างคุณลักษณะหรือหน้าตามัน เป็นอย่างไร น้องๆ ก็ ต้อง มีโมเดล ประกอบไปกับ การออกแบบของน้องๆไปด้วยนะครับ
(เดี๋ยว พี่สิงหา จะนำภาพ ออกมา ให้ น้องๆดู หมดเลย ถ้าใคร สนใจ ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่แท้จริง)
---จำเป็นเหรอ ต้องเก่งคณิต อังกฤษ วิทย์-----
และ คณะนี้ ขอบอกไม่จำเป็น ต้องเรียนเรื่องคณิตศาสตร์ที่ว่ายากๆและ ภาษาอังกฤษที่ว่ายากๆ อย่างที่คิดไว้ ซึ่ง สายนี้ จะขอปั้นให้คุณ เป็น นักออกแบบ ที่มีประสิทธิภาพในการ เน้นผลิตงาน ขึ้นมา จริง ตามกำลังความสามารถ ของน้องๆ ได้ โดยอย่างไม่มีการกั้นกรอบเลย ส่วนไอพวกเลข เนี่ย พี่ไม่ได้เรียนมา ตั้ง 5 ปีแล้ว น้องเอ๋ย
แต่เรื่อง อังกฤษ เนี่ย ห้ามทิ้ง เพราะเรา เป้น ดีไซด์เนอร์ อังกฤษ ไม่รู้ก็อายเค้าตายเลย 555
แล้วก็เรื่องสอบเข้า น้องๆ ต้อง ใช้เลข อังกิต วิทย์ เนี่ยแหละในการสอบเข้า น้องๆ ต้องติวมาให้ดี แล้ว ก็ ถ้า เป็นไปได้ น้อๆ ต้องหา รุ่นพี่ ประกบติดติวในเรื่องวิชาเอก ให้ดีเลย โดยเฉพาะ จิงๆนะ เพราะว่าวิชาเอกเกี่ยวกับศิลป์เนี่ยค่าคะแนนมันเยอะกว่า ข้อสอบพวกเลข อังกฤษ วิทย์อีกนะจะบอกให้

------ในเรื่อง ของการศึกษาต่อใน สายคณะ ออกแบบผลิตภัณฑ์ มีมหาวิทยาลัยใดบ้าง------
อย่างๆที่เราพอทราบกันดี นะครับ
มหาวิทยาลัย ที่อยู่ ใน กรุงเทพ
จุฬาลงกรณ์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
มศว.คณะศิลปกรรมศาสตร์
ม.ศิลปากร มัณฑณศิลป์

----สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาปัตย์กรรมศาสตร์ ----
มีการเปิดรับ 2ระบบ อีกระบบ จะเป็น ต่อเนื่อง 2ปี ที่สิงหา กำลังศึกษาอยู่ตอนนี้ ปีสุดท้าย คือ ปี 4
ซึ่งคณะที่สิงหากำลังศึกษาอยู่นี้ จะ เป็น คณะ ครุศาสตร์แต่เอกสิงหาจะ เป็น สถาตยกรรม ศิลปอุตสาหกรรม หรือ ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สิงหา กล่าวไว้ข้างต้นนี่เอง
ที่สิงหา เรียนอยู่ นี้ จะไม่เหมือนฝั่งสถาปัตย์เพราะฝั่งสถาปัตย์จะเรียนกัน 4-5 ปี  แต่ของสิงหาจบ ปวส.มาจาก โรงเรียนเพาะช่าง สิงหาก็ จะได้ครูใบนึง และก็สถาปัตย์ใบนึงครับ
ซึ่งปีนี้ สิงหา ก็ ได้ ไปเป็นครูฝึกสอนอย่างเต็มตัว ตามมหาลัย ต่างๆใน กทม. และก็ต้องทำ  the SiS วิทยานิพนธ์ โครงการออกแบบผลิตภัณฑ์ ทั่วไป
ขอบอกว่า สนุกครับ และก็ ด้วยใจรัก ทุกๆวันนี้


                                          ออกแบบ เฟอร์นิเจอร์

                                       
                                          อันนี้ งานออกแบบเก้าอี้สปา

                                       
                                          MODEL


                                                       SKETCH    DESIGN

เครดิต : http://www.gallerymarche.com


interview



พิธีกร :สวัสดีครับวันนี้เราก็อยู่กับผุ้เชียวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ พี่ช่วยแนะนำตัวหน่อยครับ
แขกรับเชิญ :  นาย ณรงค์พจน์ งามวงศ์วิเชียร มหาวิทยาลัยรังสิต คณะ ศิลปกรรม สาขา ออกแบบภายใน
พิธีกร : ผมอยากทราบว่าการออกแบบภายในมีความหมายอย่างไงครับ 
แขกรับเชิญ : อ่อ...การออกแบบภายในนะครับก็คือการที่เราจัดสรรค์พื้นที่ของลูกค้าหรือผุู้อยู่อาศัยนะครับให้พื้นที่ตรงนั้นเกิดความสวยงามและตอบสนองของลูกค้าให้มากที่สุดนะครับ 
พิธีกร  : แล้วงานโปดักเกี่ยวข้องอย่างไงกับการออกแบบภายใน
แขกรับเชิญ : ก็งานออกแบบโปดักเกี่ยวข้องกับงานออกแบบภายในอย่างไง ก็การออกแบบภายในนั้นจะเกี่ยวข้องกับการออกแบบเฟอร์นิเจอรืมากกว่านะครับ ว่าในปัจจุบันนั้นเราจะเห็นได้ว่าตามสถานที่ต่างๆที่มีการออกแบบภายในแล้วเนี่ยก็จะมีหลากหลายสไตร์หลากหลายรูปแบบนะครับ อย่างเช่น โรงแรม ก็จะมีโรงแรมแบบรีสอร์ทหรือไม่ก็สถานที่ที่เป็นรอฟเท่ๆนะครับบางทีดีไซเนอร์การออกแบบพื้นที่นั้นๆทำให้เกิดความแตกต่างโดดเด่นขึ้นมาในการที่เราดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ที่เราสร้างความแตกต่างกับเฟอร์นิเจอร์ที่เราไปเลือกซื้อ
พิธีกร : แล้วทราบมาว่าพี่ได้นำงานทางด้านโปดักจะมาให้ดุด้วย
แขกรับเชิญ : มีครับ
พิธีกร : เกี่ยวกับอะไรครับ
แขกรับเชิญ : เกี่ยวกับการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ใน Concept twin


ผลงาน การออกแบบฟอร์นิเจอร์



บรรยาย : ครับก็เฟอร์นิเจอร์ภายใต้ concept twin ตัวนี้นะครับ ก็มาจากสองฟอร์มสองวัสดุเด่วเรามาพูดถึงตัวแรกกันก่อนเลย ก็คือ...ฟอร์มที่ใช้วัสดุเป็นไม้นะครับ ตัวนี่เนี่ยผมได้ซ่อนล้อไว้ด้านล่างทำให้สามารถดึงออกจากตัวที่เป็นอะคิลิคทำให้สามารถหุบเข้าและกางออกได้นะครับ ก็จุดที่เชื่อมต่อกันเนี่ยที่เป็นรางสไลน์ทำให้มันมีชั้นวางของด้านบนและชั้นวางหนังสือด้านล่างทำให้เก้าอี้ตัวนี่เนี่ยสามารถนั้งได้สองคนนั้งคุยกันและนั้งอ่านหนังสือด้วยกันได้นะครับ....

ประวัติความเป็นมาของการออกแบบผลิตภัณฑ์
 
การออกแบบผลิตภัณฑ์เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังในช่วงศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมานี้เอง โดยมีการแบ่งฐานรากกันระหว่างการออกแบบ

( DESIGN ) และการผลิต ( Production ) ที่ปรากฎชัดในสมัยของ การปฏิวัติอุตสาหกรรม ( The Industrial Revolution ) ซึ่งในช่วงแรก นักออกแบบผลิตภัณฑ์ก็คือช่างฝีมือ ( Craftsman ) หรือวิศวกร ( Engineer ) เป็นส่วนใหญ่ การทำงานช่วงแรก ๆ ก็มักจะเรียกว่า "การประดิษฐ์คิดค้น" ( Invention ) และถือเป็นการออกแบบทางวิศวกรรม ( Engineering Design ) ดังนั้น กิจกรรมการสร้างสรรค์ ( The Design Process ) ที่ นักออกแบบนำเสนอก็คือการเขียนแบบทางเทคนิค ( Technical Drawing )จุดเริ่มต้นของการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม( Industrial Design ) ครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นที่ประเทศเยอรมันโดยในปี ค.ศ. 1907 บรรดาบริษัทต่าง ๆ ในเยอรมันได้ว่าจ้างเหล่าช่างฝีมือและสถาปนิกให้ออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อการผลิตด้วยเครื่องจักร ซึ่งหนึ่งในจำนวนนักออกแบบเหล่านี้ก็มีนักออกแบบผลิตภัณฑ์คนสำคัญคือ Peter Behrens ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบ ของบริษัท AEG.ที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าขณะนั้น Peter Behrens เป็นผู้ที่เริ่มสร้างสรรค์การทำงานที่ครบถ้วน กระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมขึ้นเป็นคนแรก โดยเฉพาะการออกแบบแสดงความมีเอกลักษณ์ที่แตกต่าง จากผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งขันทั่ว ๆ ไป

          หลังจากสงครามโลกครั้งที่1ทำให้เกิดการกระตุ้นและการขยายตัวทางอำนาจการผลิตของสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก ซึ่งนับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1918 เป็นต้นมาระบบการผลิตก็มีการเปลี่ยนแปลงหันเข้าสู่การสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ด้วยการใช้ความก้าวหน้าทางระบบการผลิตแบบ อุตสาหกรรม ( Mass - Production ) และพื้นฐานของการลงทุนขนาดใหญ่ซึ่งต้องอาศัยความพยายามในการที่จะลดต้นทุนการผลิต และขยาย การจำหน่ายให้มากขึ้น ดังนั้นความสมเหตุสมผล ค่ามาตรฐานในวิธีการแก้ไขปรับปรุงวัสดุแะลกระบวนการผลิตจึงเป็นข้อคิดคำนึงที่เกิดตามมา และในขณะเดียวกันความสำคัญของรูปร่าง รูปทรงผลิตภัณฑ์ที่ปรากฎแก่สายตา ( Visual Form ) ก็เข้ามาเป็นสิ่งสำคัญต่อการที่จะนำไปวาง จำหน่ายหรือการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ต่อผู้บริโภคอีกด้วย
          เหตุการณ์และภาวะทางเศรษฐกิจดังกล่าวจึงทำให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว สภาพเศรษฐกิจดีขึ้น ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันด้านการผลิตและการตลาดไปอย่างกว้างขวาง และจากที่มีการคำนึงถึงรูปร่างหน้าตาของผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จออกมา ( The appearance of The final Procucts ) ก็ทำให้มีการจ้างงานเหล่าช่างฝีมือหรือศิลปิน ( Art - Workers ) 
เข้ามาทำงานร่วมในกระบวน
การผลิตและการคิดค้นด้วย ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการกำเนิดของอาชีพใหม่ขึ้นมาคืออาชีพนักออกแบบผลิตภัณฑ์ ( Product Designer ) ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะเข้าไปร่วมกับกระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรมนับแต่นั้น ( Sparke 1986 : 4 )            จากการเริ่มต้นหลายประการดังกล่าวทำให้เกิดการพัฒนาแนวความคิดเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ เปิดกว้างแพร่หลาย ไปทั่วทั้งยุโรปและอเมริกาโดยเฉพาะแนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับ การมุ่งประโยชน์ใช้สอยที่เรียบง่าย ( Functional Simplicity ) และการให้ความ สำคัญต่อรูปร่างภายนอกมากกว่าภายในที่เหมาะสมกับการบริการ การขายและการโฆษณา ความสำคัญของการออกแบบเริ่มมีความเคลื่อนไหวมากขึ้น เช่น มีการจัดตั้งสมาคมอุตสาหกรรม และการออกแบบ ( The Design and Industries Association ) ขึ้นที่ประเทศอังกฤษในปี 1915 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสร้างมาตรฐานของการออกแบบที่ดี ( Good Design ) และสมบูรณ์ร่วมกัน ต่อมาในปี 1919 มีการจัดตั้ง THE STAATLICTHES BAUHAUS ขึ้นที่ประเทศเยอรมันนำโดย WATER GROPIUS สถาปนิกชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งเคยร่วมงานกับ PETER BEHRENS ที่บริษัท AEG มาแล้ว สถาบัน BAUHAUS แห่งนี้นับเป็นสถาบันสอนออกแบบแนวใหม่ ( MODEM MOVEMENT ) ที่นำเอาหลักการมุ่งประโยชน์ใช้สอยมาพัฒนา โดยยึดหลักการสอนที่เน้นย้ำความสำคัญของรูปร่าง รูปทรง ทางเรขาคณิต ( GEOMETRY ) ความถูกต้องแน่นอน ( PRECISION ) ความเรียบง่าย ( SIMPLICITY ) และหลักของความประหยัด ( ECOMOMY ) ดังนั้นสถาบันแห่งนี้จึงนับว่าเป็นต้นแบบของการศึกษาและทดลองออกแบบผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากมายที่ให้แนวคิดใหม่ ๆ สำหรับวงการ อุตสาหกรรมที่มีอิทธิพลครอบงำและถือเป็นแนวปฏิบัติมาตราบจนทุกวันนี้.
  ตามความหมายที่กล่าวมาแล้วว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์คือ การกำหนดรูปแบบของผลิตผล หรือ ผลของการสร้างรูปวัตถุให้เกิดเป็นลักษณะต่าง ๆ ออกมาให้สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ผลิตภัณฑ์ที่ปรากฏเห็นเป็นรูปร่างลักษณะที่มองเห็น ( Visual From ) ดังกล่าวนั้นจะต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ ทางการออกแบบ (Design process ) และการผลิต ( production ) มาก่อนซึ่งต้องมีลำดับขั้นตอนและการแก้ปัญหา ( Problem - Solving ) กันอย่างเนื่อง จนให้สามารถสนองความต้องการทั้งทางหน้าที่ทางกายภาพ( Physical Function ) และสื่อความหมายทางการสร้างสรรค์ได้
          การออกแบบผลิตภัณฑ์โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่จะพิจารณาเรื่องของการออกแบบในแง่ของสีและรูปร่างเนื่องจากว่าสีและรูปร่างเป็นลักษณะของ
การออกแบบที่มองเห็นได้อย่างโดดเด่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
          แต่ก็น่าคิดกันต่อไปว่าสีสันและรูปร่างเท่านั้นหรือที่จะเป็นหลักใหญ่ใจความของการออกแบบในการออกแบบสีและรูปร่างของผลิตภัณฑ์แน่นอนย่อมจะต้องมี " ศิลปะ" เข้ามาเกี่ยวข้องแต่ " ศิลปะ" และ "การออกแบบ" ก็ยังแตกต่างกันด้วยเหตุที่ว่าเรื่องของศิลปะนั้นในแง่ของผู้บริโภคยังดูจะมีวัตถุประสงค์คลุมเครือ แต่สำหรับเรื่องการออกแบบแล้ว ดูจะมีวัตถุประสงค์ที่จะแจ้งชัดเจนมากกว่าตามหลัก 5 W และ 2 H คือ Why ?,WHO ?, WHERE, HOW?, HOW, MUCH ?. คือออกแบบไปทำไม เพื่อใคร เมื่อไร ที่ไหน อะไร อย่างไร และมูลค่าเท่าไร ดังนั้นเมื่อมีการ "ออกแบบ"สีสันและรูปร่างของผลิตภัณฑ์จึงต้อง พิจารณาตามเจตนาดังกล่าวนี้ด้วย ดังนั้นเมื่อนักออกแบบจะเริ่มงานออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัย สิ่งสำดัญจึงอยู่ที่จะต้องรู้จักนำเอาวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่ว่ามานั้นผสมผสานความคิดกันเพื่อให้สินค้าที่มีสีสันและรูปทรงที่เหมาะสม
          การออกแบบผลิตภัณฑ์นั้น กระบวนการดำเนินงาน อาจจะสลับซับซ้อนมีความยุ่งยากและอาศัยข้อมูลประกอบ หลายระดับ ขึ้นอยู่กับว่า วัตถุประสงค์ของการออกแบบนั้นมีความต้องการและการลงทุน ในระดับใดซึ่งอาจจเป็นการผลิตรายย่อยแบบกึ่งอุตสาหกรรมหรือระบบอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ที่มีระบบสายงานและกำลังการผลิตจำนวนมาก ๆ ก็เป็นได้ แต่ในที่นี้ผู้เขียนใครขอเสนอรูปแบบของกระบวนการออกแบบที่เป็นระบบตาม
แบบอุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตเป็นจำนวนมาก ๆ ซึ่งในกระบวนการทำงานการออกแบบและการผลิตนั้นจำเป็นต้องมีการปรึกษาหรืออาศัยข้อมูลต่างๆ ที่แน่นอนมากมายมาประกอบการพิจารณาตัดสินใจเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพตรงตามความต้องการในการผลิตออกมา
          ในกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์มักจะประกอบขึ้นด้วย 2 กระบวนการคือ
             1. กระบวนการของการศึกษาวิจัยเบื้องต้น ( Process of Preliminary Research ) เป็นกระบวนการอันดับแรกของการเตรียมแผนการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การค้นคว้าวิจัย และข้อมูลจากด้านต่าง ๆ เพื่อนำมากำหนดเป็นมโนทัศน์ ( Concept ) ของผลิตภัณฑ์ อันได้แก่
             1.1 การกำหนดนโยบาย ( Policy Formulation ) ได้แก่การตั้งวัตถุประสงค์ของการผลิต , กลยุทธ
ทางการค้า , ขอบเขตของ วัน / เวลาการลงทุน และแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลอดจนการกำหนดสถานะของผลิตภัณฑ์ ( Situation ) ที่จะผลิตนั้น ๆ ด้วย
          1.2 ความต้องการด้านโครงสร้าง ( Structural Requiremenrs ) ได้แก่การกำหนด โครงสร้างและหน้าที่ทางกายภาพ ( Physical Structural Function ) ของผลิตภัณฑ์ว่าจะทำอะไรได้บ้าง ( What it HAS TO DO ) มีรูปร่างอย่างไร รูปแบบ ( STYLE ) สมัยใหม่ที่เรียบง่าย หรือมีการ ตกแต่งลวดลายตามสไตล์งานหัตถกรรมส่วนประกอบในโครงสร้างมีการรับน้ำหนัก หรือเอื้อ อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้อย่างไร ฯลฯ เช่น การกำหนดความต้องการทางโครงสร้างของ ผลิตภัณฑ์เก้าอี้ว่านอกจากจะแข็งแรงใช้นั่งได้แล้วจึงยังสามารถปรับพนักพิงหลังให้เอนนอนได้ด้วย เป็นต้น
            1.3 ความต้องการด้านการสื่อสารความหมาย ( COMMUNICATIVE REQUIRE - MENTS ) โดยปกติ แล้วผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จออกมา โครงสร้างทางรูปร่างหน้าตาของผลิตภัณฑ์จะเป็นสื่อแสดงความ หมายแทนตัวของมันเองให้ผู้ใช้ทราบโดยทันทีอยู่แล้วว่ามันคืออะไร และใช้ในภาระกิจแบบไหน เช่นว่าเรามองเห็นผลิตภัณฑ์รูปทรงกระบอกทรงสูง ภายในกลวง มีพวยริน ( Spout ) ยื่นออกมา จากขอบบนมีฝาปิด มีหูสำหรับจับถือ เราก็สามารถรับรู้ได้ว่านั่นคือ กาน้ำใช้สำหรับบรรจุของ เหลว ทั้งนี้เพราะมนุษย์เราเกิด การเรียนรู้เคยเห็น เคยใช้มาแล้วดังนั้นจึงง่ายแก่การรับรู้หรือ
            การระลึกขึ้นมาได้ง่าย แต่ในบางกรณีผู้ผลิตและผู้ออกแบบต้องการสร้างความแปลกใหม่ในรูปร่าง ลักษณะของผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นกลยุทธทางการค้า ให้สามารถดึงดูดความสนใจผู้ใช้ให้เกิดความ
            รู้สึกใหม่ด้วยการใช้รูปลักษณะอื่น ๆ สีสันและโครงสร้างที่แปลกไปจากมโนทัศน์เดิม และในขณะ เดียวกันก็ต้องการใช้ข้อมูลข้อความต่าง ๆ เพื่อเห็นการบอกกล่าวให้ทราบถึง ชนิด ประเภท วิธี การใช้ ตลอดจนเครื่องหมายการค้า ตรายี่ห้อ ชื่อผู้ผลิตเข้ามาช่วยสื่อความหมายในตัวผลิตภัณฑ์ นั้น ๆ ด้วย ดังนั้น ความต้องการด้านสื่อความหมาย จึงเป็นไปอย่างควบคู่กันกับโครงสร้างของ ผลิตภัณฑ์ซึ่งจะขาดเสียมิได้
            1.4 การศึกษาชนิดและประเภทของวัสดุ ( Materials ) ที่จะนำมาใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์นักออกแบบจึง ควรศึกษาเกี่ยวกับชนิด รูปร่าง และ ขนาดต่าง ๆ ของวัสดุที่มีขายในท้องตลาด หรือแหล่งของ วัตถุดิบสามารถจัดหาได้ง่ายหรือไม่ มีจำนวนและปริมาณเท่าใด มีคุณสมบัติและโครงสร้างทาง กายภาพในแต่ละชนิดเป็นอย่างไร ฯลฯ ทั้งนี้ก็เพื่อว่า ผู้ออกแบบจะได้เลือกใช้วัสดุได้ถูกต้องกับ ชนิดของงานสามารถกำหนดหรือซื้อวัสดุได้ถูกต้องตามแบบที่ต้องการ เช่น การทดสอบการรับ
            น้ำหนักของวัสดุ ความทนทานต่อการดัด , โค้ง , งอ หรือง่ายต่อการขึ้นรูป เป็นต้น
            1.5 การศึกษากระบวนการผลิต ( Production Process ) การศึกษาขั้นนี้นับว่าเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่นักออกแบบจำเป็นต้องศึกษาถึงความเป็นไปได้( Feasidility Study ) ในกรรมวิธีของการสร้าง ผลิตภัณฑ์อันจะต้องศึกษาเกี่ยวกับเทคนิควิธีการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเช่นเทคนิคการจัดทำ
( Technical Performance )
           1.6 การศึกษาเศรษฐศาสตร์ ( Economics ) เป็นการศึกษาพื้นฐานการใช้จ่ายตลอดจนศึกษาวิธี ประหยัดและการลงทุนการผลิตในปัจจัยต่าง ๆ ที่จะต้องนำมาประเมินราคาร่วมกับราคาขายผลิตภัณฑ์อันไดัแก่
            - วิธีการนำวัสดุมาใช้ให้สิ้นเปลืองน้อยที่สุด ( Minimum wastage from raw material )
            - วิธีการประหยัดในวิธีการผลิตและกระบวนการทางโครงสร้าง ( Economy of Production method and Structural Process )
            - วิธีการประหยัดในการเก็บรักษา , การบรรจุ และการขนส่ง ( Economy of Storage / Packing Transport )
          1.7 การศึกษาขนาดสัดส่วนในการอำนวยความสะดวกสบายด้านต่าง ๆ ( Size Opertional Ergonoics ) อันได้แก่การศึกษาขนาดสัดส่วนของมนุษย์ ( Humam scale ) การวัดขนาด ขนาดของผู้ใช้และการเคลื่อนไหวของมนุษย์ ( Users' measurements and Human movement เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการออกแบบและการกำหนดรูปร่างรูปทรงตลอดจนส่วนประกอบต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น การถือ การจับ นั่ง เดิน ยืน นอน ในขณะที่เกิดพฤติกรรมร่วมกับผลิตภัณฑ์ นั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
           นอกจากจะศึกษาถึงขนาดสัดส่วนสรีระร่างกายของมนุษย์แล้วนักออกแบบยังจะต้องศึกษาขนาดสัดส่วนของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบกาย ( Environ mental Scale ) เช่น สภาพธรรมชาติ ขนาดบ้านเรือน ที่พักอาศัย สัดส่วนในการขนส่ง การเก็บรักษา การบรรจุตลอดจนน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ที่จะ ผลิตออกมาอีกด้วย
              1.8 การสำรวจและวิจัยถึงความต้องการของผู้ใช้ ( Consumer Pequire ments ) เช่น
           - ความต้องการของผู้ใช้หรือผู้บริโภค ( Consmer / User Needs )
           - จุดมุ่งหมายเฉพาะทางการตลาด ( Specific Market Destination )
           - ระดับชนชั้นในสังคม ( Social Class Group )
           - กลุ่มอายุหรือเพศของผู้ใช้ ( Age / Sex Group )
           - ระดับรายได้ ( Income Group )
           - ระยะเวลาหรืออายุของผลิตภัณฑ์ ( Intended duration of Product ) เช่น ใช้ชั่วคราว ( Short term ) ถาวร ( Permanent ) หรือใช้หมดไป               ( Disposable )
           - สถานที่นำไปใช้ ( Operational Location ) ซึ่งต้องทราบว่าผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคซื้อไปจะนำ ไปใช้ในสถานที่ใด และภาวะการณ์เช่นไร
           - พฤติกรรมของผู้บริโภค ( Consumer Behaviors )
          1.9 การศึกษากฏหมายและหลักสุขอนามัยสภาพแวดล้อม ด้านกฏหมายจะต้องศึกษาถึงข้อบัญญัติต่าง ๆ กฏหมายลิขสิทธิ์การคุ้มครองผลงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์การประกันสินค้า ตราเครื่องหมาย ผลิตภัณฑ์ ฯลฯ นอกจากนั้นยังต้องคำนึงถึงสุขภาพอนามัยอันเนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของผู้ บริโภค เช่น อันตรายจากวัตถุที่มีพิษ การบาดเจ็บอันเนื่องมาจากโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ตลอดจนการเกิดมลภาวะต่อสภาพแวดล้อมอีกด้วย
          จากขั้นตอนและวิธีการต่าง ๆ ที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าขั้นของการกำหนดรูปแบบทางมโนทัศน์ (concept) ของผลิตภัณฑ์นั้นต้องอาศัยข้อมูล และประสบการณ์ด้านต่าง ๆ มาประกอบเป็นแนวความคิด ( Idea) เพื่อการสร้างสรรค์ ที่มากมายหลายด้าน มีความสลับซับซ้อน และเกี่ยวพัน กับบุคลากรผู้ชำนาญการต่าง ๆ มากมายในอันที่นำมาใช้กำหนดแบบการสื่อความหมายความเข้าใจซึ่งกันและกันในขั้นตอนของการออกแบบและการผลิตต่อไป

             2. กระบวนการออกแบบ THE PROCESS OF DESIGN
             หลังจากที่นักออกแบบได้ศึกษาข้อมูลได้แนวคิดของชนิดและประเภทของผลิตภัณฑ์แล้วนักออกแบบจึงดำเนินการออกแบบโดยมีลำดับขั้นตอนของ
การทำงานคือ
             2.1. การพัฒนาแนวความคิดของการออกแบบ ด้วยการสร้างสรรค์ Concept ออกมาในรูปของหน้าที่การใช้งานและรูปทรง ซึ่งอาจจะ เริ่มต้นด้วยการร่างภาพอย่างหยาบ ๆ ( Rough Sketch ) หรือทดลองสร้างหุ่นจำลองขึ้นมาอย่างง่าย ๆ ( Mode Making ) เพราะลักษณะของ ผลิตภัณฑ์นั้นบางครั้งการเขียนแสดงให้เห็นเป็นเพียง 2 มิติ นักออกแบบอาจจะผิดพลาดในเรื่องของขนาดสัดส่วน รูปร่างและโครงสร้างที่แท้จริงไป หรือผู้ร่วมงานไม่อาจจะมองภาพออกและไม่เข้าใจใน coneept ที่แสดงไว้ ดังนั้นการสร้างหุ่นจำลองประกอ บหรืออธิบายแบบในรูป 3 มิติ จะทำให้ง่ายแก่การมองและช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจในแนวความคิดได้ง่ายขึ้นอีก ทั้งยังเป็นการศึกษาทดลองรูปแบบ ของโครงสร้างและรูปร่างอย่าวคร่าว ๆ ที่มีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษาในกระบวนการออกแบบ ซึ่งในการสร้างหุ่นจำลองง่าย ๆ นี้ส่วนใหญ่มักใช้วัสดุที่สามารถดัดแปลงรูปได้ง่ายรวดเร็ว เช่น ใช้ดินเหนียว ดินน้ำมัน หรือกระดาษ เป็นต้น การออกแบบในขั้นนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นขั้นของการศึกษาปัญหาและพัฒนาแนวความคิดเบื้องต้น ( Preliminary Ideas ) เพื่อกำหนดปัญหาโดยชี้เฉพาะในสิ่งที่ต้องการ ( Problem Definition By Tdentification of Needs ) อันได้แก่
             1.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล ( Collect data and Information )
             1.2 การวิเคราะห์และประเมินข้อมูลที่ได้มา ( Assess / Analyse information )
             1.3 ตั้งรายการของความต้องการเป็นลำดับขั้นตอน (Establish and list Needs in order of Priority)
             1.4 ตั้งเกณฑ์สำหรับการประเมินผล ( Establish Criteria for Evaluation )
             ทั้ง 4 ขั้นตอนดังกล่าวก็เป็นผลเนื่องมาจากกระบวนการศึกษาวิจัยเบื้องต้อน ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นโดย
ที่นักออกแบบจะนำผลที่ได้มาตั้งเป็นแนวสมมุติฐานในการออกแบบแล้วกำหนดขึ้นเป็นโครงร่างภาพตามแนวความคิด ( Sketch Ideas ) หลาย ๆ แบบด้วยการเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันในตลาด ทดสอบทดลองและประเมินผลแบบเพื่อการปรับปรุงดัดแปลงและวิเคราะห์ความสำคัญตามเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นตอนลำดับต่อมา
              - การศึกษาวิธีการใช้งานและมิติของผลิตภัณฑ์ ในสถานการณ์ที่จำกัด รูปทรง ที่บรรจุของเหลวข้น เช่น กาว หรือ ครีม ฯลฯ ว่าเครื่องมือลักษณะรูปร่างแบบใดที่ใช้ตัก , ควัก เอาเนื้อผลิตภัณฑ์ภาย ในออกมาได้หมดและเหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด
              - ภาพแสดงรูปร่างของผลิตภัณฑ์ หรือเครื่องมือที่ใช้หลาย ๆ แบบที่เหมาะสมกับรูปร่างของบรรจุ ภัณฑ์และการใช้งานภายใน   
           - การสร้างหุ่นจำลองแบบง่าย ๆ ( รูป ) ด้วยกระดาษแข็งเพื่อศึกษาขนาด , สัดส่วนของตัวผลิตภัณฑ์
               - การศึกษารูปแบบของด้านกระทะที่ต้องการให้มีรูปร่างกระชับมือ และรับกับขนาดของอุ้งมือในขณะ
จับถือ ด้วยการทำหุ่นจำลองอย่างง่าย ๆ โดยใช้ดินน้ำมันห่อหุ้มแกนของด้ามจับ ( Clay study ) เพื่อการศึกษาร่องรอยและขนาดที่ปรากฏบนดินน้ำมันจริง ซึ่งทั้งนี้ก็ยังต้องศึกษาถึงขนาดของมือผู้ใช้ ด้วยว่ามีอายุเท่าใด เพื่อจะได้กำหนด ขนาด , สัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผู้ใช้ได้ถูกต้อง
          2. ขั้นตอนการพัฒนาแบบ ( Desing Refine ment ) คือขั้นตอนของการขัดเกลาแบบร่างที่จะต้องมีการทดลอง ทดสอบ แนวความคิด อย่างพินิจพิจารณาตัดสินว่าจะยอมรับไม่ยอมรับหรือต้องแก้ไขปรับปรุง แแบบอย่างไรถ้าไม่ผ่านการยอมรับก็ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ ถ้าผ่านการยอมรับก็จะต้องเข้าสู่ขั้นการพัฒนาแบบด้วยการรายละเอียดของการจัดทำ ( Expand Performance Speci fication ) เช่น
          2.1 พัฒนาส่วนปลีกย่อยของแบบ ( Develop detailed desing )
          2.2 จัดเตรียมข้อมูลเอกสารประกอบการออกแบบ ( Preparem design documentation )
          2.3 คิดเทคนิคการจัดทำและคำนวณต้นทุน ( Predict technical performance and product costs )
          ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในแง่ของการผลิต ( Feasibility Study ) ว่าแบบที่เลือกขึ้นมาพิจารณานั้น มีความเหมาะสมและสัมพันธ์กันใน ขนาด สัดส่วน โครงสร้าง หน้าที่ใช้สอย วัสดุ กรรมวิธีการผลิต การลงทุนและการจัดการด้านอื่น ๆ มากน้อยเพียงใด เช่น
          - ผลิตภัณฑ์มีรูปร่างสวยงามดี แต่ใช้วัสดุสิ้นเปลืองมากหรือเกิดเศษวัสดุโดยเปล่าประโยชน์ มากเกินไป โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัสดุสำเร็จรูป ในลักษณะคงรูปและจำกัดขนาด ดังเช่น แผนผนัง แผ่นพลาสติก แผ่นโลหะ ท่อ แท่ง ท่อน แผ่นไม้ เป็นต้น ดังนั้นนักออกแบบจึงต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ ให้สัมพันธ์กับข้อจำของวัสดุดังกล่าวด้วย
          - ผลิตภัณฑ์มีรูปร่างของส่วนยื่น ( Spine ) ส่วนเว้า ( Curve ) หรือลวดลายมากมายเกินไป อาจไม่เหมาะสมกับการสร้างแม่พิมพ์หรือการขัดเกลา ( Finishing ) ครั้งสุดท้ายทำให้เสีย เวลา เสียค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งก็หมายถึงต้นทุนการผลิตและการผลิตและราคาจำหน่ายต่อหน่วยจะ สูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่ต้องขึ้นรูปด้วยการหล่อการฉีดวัสดุเหลวเข้าไปใน แม่พิมพ์ เช่น แก้ว หรือโลหะเป็นต้น ดังนั้น นักออกแบบก็ต้องคำนึงถึงความ เป็นไปได้ของกำลังการผลิต กรรมวิธีตลอดจนเรื่องจักรกลต่าง ๆ ในโรงงานผลิตด้วย
          - ผลิตภัณฑ์มีโครงสร้างดี แข็งแรงทนทานใช้วัสดุได้เหมาะสมแต่อาจจะมีน้ำหนักมากหรือมี ขนาดสัดส่วนที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการบรรจุ การเก็บรักษา การขนส่ง การกำจัดซาก ซึ่งอาจ จะต้องมีการใช้วัสดุอื่นแทนหรือดัดแปลงโครงสร้างให้มีน้ำหนักเบาลงแต่ยังคงรักษาความแข็ง แรงและรับน้ำหนักได้เช่น เดิม หรือไม่ก็ปรับปรุงให้มีโครงสร้างที่ง่ายต่อการเก็บรักษา สามารถเรียงซ้อนหรือเรียงบรรจุได้อย่างประหยัดเนื้อที่ในการขนส่งเป็นต้น
- ภาพแสดงการพัฒนาโครงสร้างของโต๊ะที่สามารถแปรผัน ขนาดรูปร่างส่วนประกอบและ วัสดุ เพื่อหาความเหมาะสมสัมพันธ์กันระหว่างโครงสร้าง - ขนาด - น้ำหนัก - วัสดุ ที่มี ประสิทธิถาพและความงามที่ปรากฏออกมาได้ดีกว่า
          การให้ข้อมูลหรือรายละเอียดประกอบการออกแบบดังกล่าว จึงเท่ากับว่าเป็นการนำเสนอเพื่อการตัดสินใจในเบื้องต้น ( Preliminary Decision ) ที่ผู้ออกแบบจะต้องสื่อแสดงรายละเอียดของความคิดและมโนภาพต่าง ๆ เพื่อการชี้แจงให้ผู้อื่นได้ทราบถึงลักษณะ ของรูปลักษณะหน้าตา ( Feature ) สี ( Color ) ขนาดสัดส่วน ( Propoetion ) ของผลิตภัณฑ์ที่จะเกิดขึ้นหรือนำไปพัฒนาแบบด้วยการเขียนแบบสร้างจริง ( Working Drawing ) เพื่อการผลิตจริงในลำดับต่อไป
          3. การนำเสนอผลงานการออกแบบ ( Design Prosentation )
          ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่นักออกแบบ ผู้ร่วมงาน ที่ปรึกษา และผู้ผลิตมีความเห็นชอบในแบบที่แก้ไขและพัฒนาแบบแล้ว ผ่านขั้นตอนการ ตัดสินใจที่แน่นอนแล้ว ในลำดับต่อมานักออกแบบจะต้องมีการนำเสนอแบบจริง ที่จะต้องนำมาซึ่งการสื่อความหมายความเข้าใจ อ่านแบบได้ และมีรายละเอียด ประกอบอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่ออธิบายแบบ หรือทำเสนอต่อผู้ที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการผลิตหรือร่วมออกแบบ ซึ่งอาจจะได้แก่ ผู้ผลิต วิศวกร นักการตลาด นักกฏหมาย ช่างเทคนิค ช่างฝีมือ และทีมงานฝ่ายโรงงานการผลิต ฯลฯ ให้เกิดความเข้าใจในแบบที่ทำเสนอได้ตรงกันจวบจนสิ้นกระบวนการ
         โดยปกติทั่วไป นักออกแบบผลิตภัณฑ์มักมีวิธีการนำเสนอผลงานการออกแบบอยู่ 2 ประการ ที่เป็นหลักใหญ่ คือ
           3.1 การนำเสนอในลักษณะ 2 มิติ ( Two Dimension )
           การนำเสนอแบบ 2 มิตินี้ตามปกติเป็นการออกแบบที่กินพื้นที่บนแผ่นระนาบที่รองรับ สามารถตรวจสอบความกว้าง ความยาวของระนาบที่รองรับได้ ออกมาตามตราส่วนที่กำหนด ( Scale ) แต่ไม่สามารถตรวจสอบความสูง หนา หรือลึกได้ โดยทั่วไปการนำเสนอในลักษณะ 2 มิติ นิยมใช้กระดาษเป็น ที่รองรับ ด้วยวิธีการเขียนแบบ ( Mechanical Drawing ) ลายเส้นแสดงโครงสร้างและสัดส่วนตลอดจนการขยายรายละเอียดแบบ ( Details ) ภาพตัด ( Section ) ภาพแสดงการประกอบ ( Assembly ) ของชิ้นส่วนต่าง ๆ ประกอบความเข้าใจหรือสื่อความหมายให้ชัดเจน
           วิธีการเขียนสำหรับงานออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อการนำเสนอ
การออกแบบ ( Design ) และการเขียนแบบ ( Mechanical Drawing ) เป็นกระบวนการทำงานที่สัมพันธ์ต่อเนื่องกัน เป็นการสานต่อจากการร่างภาพ ที่ต้องนำแนวความคิดสร้างสรรค์ในผลิตภัณฑ์ที่คิดไว้อย่างหยาบ ๆ มาเขียนแสดงให้เห็นรูปร่าง ที่ชัดเจนขึ้นบนพื้นระนาบของกระดาษ โดยการแสดงรูปร่าง ลักษณะขนาดสัดส่วน สัญลักษณ์ แสดงรายละเอียด ตลอดจนคำบรรยายต่าง ๆ ที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สามารถนำไปเป็นต้นแบบ ย่อ - ขยาย ทำเป็นของจริงขึ้นมาได้ การเขียนแบบจึงต้องมีการกำหนดมาตราส่วนบอกขนาดสัดส่วนต่าง ๆ ของรูปร่างผลิตภัณฑ์เอาไว้ด้วย
ลักษณะของการเขียนแบบสำหรับงานออกแบบผลิตภัณฑ์
           - การเขียนแบบ Orthographic Projection คือการเขียนภาพฉายเพื่อแยกให้เห็นมุมมองด้านต่าง ๆ ของวัตถุหรือผลิตภัณฑ์ออกมาให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน พร้อมทั้งมีการกำหนดที่แน่นอน เพื่อสามารถนำไปสร้างเป็นของจริงได้ มุมมองต่าง ๆ ที่ต้องแสดงได้แก่
           ก. ภาพด้านบนหรือแปลน ( Plan or Top View )
           ข. ภาพด้านหน้า ( Front Elevation )
           ค. ภาพด้านหลัง ( Back Elevation )
           ง. ภาพ ด้านข้าง ( Side Elevation )
           - การเขียนแบบ Pictorial Drawing
           เป็นการเขียนแบบเพื่องแสดงปริมาตรของรูปวัตถุในมุมมองต่าง ๆ กันซึ่งยังสามารถมองต่าง ๆ และด้านต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กัน และควรแสดงประกอบกันไปพร้อมกับการเขียนแบบ Orthographic Projectionเพื่อแสดงภาพลวงตา ( Illusion ) ออกมาในลักษณะแบบมองเห็นเป็นรูป 3 มิติ การเขียนแบบประเภทนี้นิยมที่จะแสดงอยู่ 3 วิธีการคือ
           ก. การเขียนแบบ Oblique คือการเขียนแบบที่แสดงปริมาตรของรูปวัตถุโดยเน้นด้านหน้าวางอยู่บนเส้นระดับ ตามมาตรส่วน และเห็นด้านบนด้านข้าง ด้านใด ด้านหนึ่ง โดยที่ด้านข้าง ( Side Elevation ) จะทำมุม 30 , 45 หรือ 60 องศากับเส้นระดับ การเขียนแบบในวิธีนี้สามารถจะฉายภาพ ( Project ) จากด้านหน้าไปด้านหลัง ในแนวขนานตามมุมองศาที่เท่ากันตลอดได้เลย ภาพที่แสดงจึงมีลักษณะเย้หรือเอียงไปเพียงข้างใดข้างหนึ่ง แต่สามารถวัดขนาดและ ตรวจสอบมาตราส่วนได้จริง เช่นเดียวกับขนาดของภาพแสดงรูปด้านต่าง ๆ
           ข. การเขียนแบบ Isometric คือการเขียนแบบที่แสดงปริมาตรของวัตถุจากที่อยู่ใกล้ที่สุด มีลักษณะเย้หรือกางออกทั้งสองข้าง โดยทำมุม 120 องศาหรือเป็นภาพที่แสดงมุมบนเส้นระดับ 30 องศา ทั้งซ้าย - ขวาของเส้นตั้งฉากหรือ - 30 องศา - 60 องศา สามารถวัดขนาดได้จริง ตามส่วนมาตรา ส่วนของแบบ
            ค. การเขียนแบบ Perspective หรือการเขียนทัศนียภาพ คือการเขียนแบบที่เน้นการมองเห็นรูปวัตถุจริง ๆ ตามสายตาที่มองเห็น ด้วยการสมมุติการทำให้ไม่สามารถวัดขนาด และตรวจสอบมาตราส่วนที่แท้จริงในการเขียนภาพแสดงประกอบวิธีการอื่น ๆ ที่กล่าวมาเพื่อให้เห็นเป็นภาพ ที่ใกล้เคียงอัตราของจริง ตามสายตาที่มอง เพราะสามารถสร้างบรรยากาศแห่งการมองได้เป็นอย่างดี การเขียนแบบทัศนียภาพนี้ นิยมนำเสนอ 3 วิธีการดังเช่น
             - ทัศนียภาพแบบจุดเดียว ( One - Point Perspective ) เป็นการเขียนแบบที่แสดงด้านหน้าตรง และด้านบน ด้านข้างเล็กลงสู่จุดรวมสายตา เพื่อจุดสุดสายตา ( Vanishing Point ) ที่กำหนดไว้เพียงจุดเดียว
           - ทัศนียภาพแบบ 2จุด ( Two - Point Perspective ) เป็นหลักการเขียนภาพทัศนียภาพที่เกิดขึ้นจากจุดรวมสายตา 2 จุด ซ้าย - ขวา
             - ทัศนียภาพแบบ 3 จุด ( Three - Point Perspective ) เป็นการเขียนแบบทัศนียภาพที่แสดงมุมมองใกล้ที่สุดและเน้นด้านบนหรือด้านล่างด้านใด ด้านหนึ่งของวัตถุให้เป็นส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อด้านข้าง สองด้านเล็กลงไปสู่จุดสายตา 2 จุดนั้น ด้านบนหรือด้านล่างที่ตรงกันข้ามกัยด้านที่มองเห็นใกล้ ยิ่งเล็กลงไปสู่จุดสุดสายตาอีกหนึ่งด้วย ทำให้การเขียนแบบ ทัศนียภาพในลักษณะนี้มี จุดสายตาร่วม 3 จุด ด้วยกัน โดย 2 จุดอยู่บนเส้นระดับสายตาและอีกจุดอยู่ตอนบนหรือตอนล่างของเส้นระดับสายตานั้น
3.2 การนำเสนอแบบ 3 มิติ ( Three Dimension )
             การนำเสนอแบบ 3 มิติ นี้คือ การนำเสนอที่แสดงประมาตรของรูปทรงให้สามารถตรวจสอบหรือสัมผัสไดด้วยการสัมผัส โดย กินเนื้อที่ว่างในอากาศมองเห็นได้รอบด้าน ลักษณะของผลิตภัณฑ์นั้นบางครั้งนักออกแบบให้ดูอย่างเดียวก็อาจจะไม่สร้างความกระจ่างชัดความเข้าใจและสื่อความหมาย ให้เห็นรูปทรงที่แท้จริงได้ดี ดังนั้นนักออกแบบจึงควรที่จะต้องสร้างหุ่นจำลอง ( Model Making ) ขึ้นมาประกอบการอธิบายในลักษณะ 3 มิติดังกล่าว ซึ่งจะทำให้มองเห็นได้ง่ายเข้าใจได้เร็วขึ้น
            - วิธีสร้างหุ่นจำลอง ( Model Making )
           ก. การขึ้นรูปแบบอย่างง่าย ๆ ( Clay Studies ) หุ่นจำลองชนิดที่สร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ นี้ไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียด และขนาดสัดส่วนที่ถูกต้อง อาจจะมีขนาดสัดส่วนเล็กกว่า ใหญ่กว่าความเป็นจริงก็ได้ เป็นการกำหนดโครงสร้างและรูปร่างที่เน้นให้เห็นรูปแบบของผลิตภัณฑ์อย่างคร่าว ๆ เพื่อเริ่มต้นศึกษาแบบของผลิตภัณฑ์ถึงโครงสร้างทั่วไป หน้าที่ใชสอย ความเหมาะสมกับสรีระร่างกาย และสัดส่วนของมนุษย์ ฯลฯ ซึ่งในการสร้างหุ่นจำลองในขั้นนี้มักใช้วัสดุที่สามารถเปลี่ยนรูป ปั้นเพิ่ม - ลด รูปทรงได้ง่ายเช่นการให้ดินน้ำมันปั้นแบบเป็นต้น
          ข. หุ่นจำลองเพื่อการศึกษารายละเอียด ( Scale Model ) เป็นหุ่นจำลองที่เน้นเฉพาะการศึกษาหาข้อมูลโดยเฉพาะคือหุ่นจำลองที่มีสัดส่วนแน่นอนจะเป็นการย่อส่วนให้เล็กลงหรือ
ขยายให้ใหญ่ขึ้นก็เป็นได้ สร้างขึ้นเพื่อการศึกษารายละเอียดเฉพาะอย่าง เช่น ประสิทธิภาพ การทำงาน หรือ เพื่อการศึกษารูปร่าง การทำแม่พิมพ์ ฯลฯ ซึ่งจะทำด้วยวัสดุประเภทใดก็ได้เช่น ดิน ปูน พลาสติค กระดาษ ไม้ ฯลฯ
          ค. หุ่นจำลองใกล้เคียงของจริง ( Mock up )เป็นหุ่นจำลองที่สร้างขึ้นเพื่อนำมาแสดงโครงสร้าง ส่วนประกอบ รูปร่าง สีวัน ที่มีขนาดเท่าจริงหรือเลียบแนนให้เหมือนของจริงมากที่สุด เพื่อให้เป็นรูปลักษณ์ที่ปรากฏ ( Visval Form ) ที่อาจจะใช้เพื่อทดสอบความรู้สึกเกี่ยวกับสีสันหรือการประกอบกันกับลักษณะงาน
กราฟฟิค ที่สำเร็จรูป
          ง. หุ่นจำลองต้นแบบ ( Prototype ) เป็นหุ่นจำลองขั้นสุดท้าย ซึ่งจะใช้เป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบของขนาดวัสดุ ส่วนประกอบ และรายละเอียดอื่น ๆ ต้องเหมือนจริงทุกประการ เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำไปทดสอบทัศนคติของผู้บริโภคได้ ส่วนในกระบวนการผลิต แบบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาจจะมี การผลิตผลิตภัณฑ์ทดสอบ ซึ่งเรียกว่า Pre - Production Prototype โดยการผลิตออกมาโดยเครื่องจักรและวัสดุเป็นจำนวนมาก ๆ เพื่อนำผลิตภัณฑ์ต้นแบบในขั้นนี้ทดลองวางตลาด ทดสอบความรู้สึกของผู้บริโภค เกี่ยวกับสีสันรูปร่าง หรือประสิทธิภาพการทำงานจริง ( Workability ) ที่อาจจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย เช่น สีสันหรือลักษณะของการออกแบบกราฟฟิค ที่ประกอบในตัวผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
          4. กระบวนการผลิต ( Production ) ในกระบวนการผลิตนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของฝ่ายผลิตที่ได้รับงานเขียนแบบที่นักออกแบบนำเสนอ
มาให้แล้วซึ่งต้องดำเนินการผลิตตามแบบและข้อกำหนดต่าง ๆ ในรายละเอียดที่อธิบายประกอบไว้ หน้าที่ของนักออกแบบผลิตภัณฑ์ ในขั้นตอนนี้ จึงมีเพียงเป็นผู้ควบคุมคุณภาพการผลิต คอยติดตามแก้ปัญหาหรือข้อข้องใจที่ไม่แจ่มชัดที่อาจจะสื่อความหมายไม่ตรงกันทั้งนี้ก็เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่สำเร็จออก
มามีคุณค่าและเป็นไปตามความต้องการที่กำหนดร่วมกันไว้
           5. การประเมินค่า ( Appraisal )
ในขั้นนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายใในกระบวนการผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์ในอันที่จะต้องมีการประเมินค่าของผลงานออกแบบว่า เมื่อสร้างจริงและนำไปใช้แล้วเกิดผลเช่นไร ต้นทุนการผลิตทั้งหมดเสียค่าใช้จ่ายเท่า และการกำหนดราคาขายเท่าใดจึงจะเหมาะสม ดังนั้นหลักการตลาด การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การขนส่ง การบรรจุหีบห่อ และปัจจัยพิเศษอื่น ๆ จะเข้ามาเกี่ยวข้อง และปะทะสัมพันธ์ในกระบวนการสุดท้ายนี้ ผลที่ไดรับจากการประเมินค่า ประเมินราคา จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานทั้งหมดที่ดำเนินมา และจะมีค่าต่อการนำกลับไปปรับปรุงหรือข้อควรพิจารณาในการผลิตและออกแบบอีกต่อไป
หลักเกณฑ์ในการประเมินค่างานออกแบบพิจารณษได้ตามหลักการดังต่อไปนี้
             1. Functional คือการพิจารณาตามหน้าที่ใช้สอยที่ผลิตภัณฑ์มีคุณลักษณะ และลักษณะตามที่ได้กำหนดไว้ ได้แก่
             - หน้าที่การใช้งาน
             - ความสะดวกสบาย
             - ความปลอดภัย
             - ความเหมาะสมกับภาวะการใช้งาน
             - ประโยชน์ใช้สอย
            2. Structure คือการพิจารณาตามโครงสร้างโดยพิจารณาถึง รูปร่างลักษณะ, น้ำหนัก, ความแข็งแรงทนทาน , มีความคงทนในการใช้สอยมากน้อยเพียงใด
            3. Durability คือการพิจารณาถึงอายุหรือระยะเวลาของผลิตภัณฑ์และวัสดุที่ใช้ในการออกแบบว่ามี
ความเหมาะประหยัด คุ้มค่า กับระยะเวลาและการใช้นานเพียงใด
            4. Ergonomic คือการพิจารณา ถึงการเอื้ออำนวยความสะดวกสบายของงานออกแบบที่มีผลต่อการทำไปใช้ และความเหมาะสมกับสรีระร่างกายสัดส่วนหรือความเคลื่อนไหวของมนุษย์
            5. Production คือการพิจารณาถึงคุณภาพของการผลิต เช่น
            - ความประณีตเรียบร้อยของผลงาน
            - มีการประสานงานที่ดี
            - แบบและรายละเอียดถูกต้องตามที่กำหนด
            - คุณภาพของผลผลิต
           6. Economics เป็นการพิจารณาถึงต้นทุนการผลิต เศรษฐกิจของการลงทุน ความคุ้มทุน หรือผลกำไร เป็นต้น
           7. Association คือการพิจารณามในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องว่าผลงานที่ออกแบบมานั้นสามารถสื่อความหมายได้ดี ต่อผู้ใช้ผู้พบเห็น มีการเผยแพร่การโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันอย่างได้ผล
           8. Asthetios คือการพิจารณาด้านความงามของผลิตภัณฑ์ เช่น โครงสร้าง สัดส่วน สีสัน การดึงดูด ความสนใจต่อผู้ใช้ ฯลฯ เป็นต้น
           หลักการทั้งแปดอย่างนี้เป็นเพียงแนวทางกว้าง ๆ ที่จะนำมาเป็นหลักการพิจารณาซึ่งอาจจะแตกแขนง แยกสาขาที่ละเอียดกว่านี้ ก็แล้วแต่ว่าผู้ผลิต ผู้ออกแบบต้องการความรัดกุม การควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์มากน้อยเพียงใด หรืออาจจะขึ้นอยู่กับการเน้นเพียงข้อใดข้อหนึ่งให้เด่นเป็นพิเศษ ก็ขึ้นอยู่กับชนิดและประเภทของผลิตภัณฑ์ซึ่งอาจจะผกผันขั้นตอนไปได้ ตามความต้องการหรือความเหมาะสมที่สามารถจะกระทำได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น